top of page

คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของรัฐบาลสมัยที่ 2 โดนัลด์ ทรัมป์



การดำเนินงานด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ในช่วงสมัยที่สองของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นยากที่จะคาดการณ์ เนื่องจากในช่วงสมัยฤดูกาลหาเสียงปี 2024 หัวข้อนี้ไม่ได้มีการถูกหยิบยกมาพูดถึงสักเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีจุดยืนในบางประเด็นที่มีนัยที่ชัดเจนต่อนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีสาระสำคัญดังนี้


1.การปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาล

  • ทรัมป์ได้มอบหมายให้นายให้อีลอน มัสก์ และนายวิเวก รามาสวามี ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ จัดตั้งแนวคิดในการลดงบประมาณของรัฐบาลกลางมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสภาครองเกรสน่าจะมีท่าทีว่าจะไม่ตอบรับเรื่องการปรับลดงบประมาณในระดับขนาดนั้น ในปัจจุบันรัฐบาลกลางใช้จ่ายประมาณ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี โดยประมาณหนึ่งในสามเป็นการใช้จ่ายตามดุลยพินิจที่สภาคองเกรสจัดสรร ในช่วงวาระสมัยแรกทรัมป์เคยพยายามลดงบประมาณจำนวนมากในหน่วยงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนในการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งสภาคองเกรสปฏิเสธที่จะลดค่าใช้จ่ายเหล่านั้น

  • ทรัมป์มีความสนใจที่จะยกเลิกการใช้จ่ายในโครงการริเริ่มของไบเดน เช่น การอุดหนุนเทคโนโลยีพลังงานในพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อ และการอุดหนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในกฎหมาย CHIPS and Science Act


2.โครงการความหลากหลายด้าน STEM ต้องเผชิญกับแรงกดดัน

  • ทรัมป์ประกาศจะเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน ว่าด้วยเรื่องการสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก​ (DEI) ทั่วทั้งรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าเป็นพื้นฐานในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่กระจายกำลังคนในสาขา STEM นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้แต่งตั้งบุคลากรอาวุโสที่มีความเห็นไม่เห็นด้วยกับโครงการริเริ่มของ DEI อีกด้วย

  • ทรัมป์มอบหมายให้ Stephen Miller ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายของทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ในวาระแรก Miller เคยดำรงตำแหน่งในคณะบริหารและก่อตั้งกลุ่มผู้สนับสนุนชื่อ “America First Legal” ซึ่งได้ฟ้องร้องหลายมหาวิทยาลัยในการใช้ความหลากในการตัดสินการจ้างงานในบางอาชีพ และยังได้ออกคำขอ Freedom of Information Act (FOIA) ไปยังหน่วยงานวิทยาศาสตร์ 6 หน่วยงาน (ได้แก่ CDC DOD NASA NIST NOAA และ NSF) เพื่อตรวจสอบโครงการ DEI นี้ และยังฟ้องร้องไปยัง NSF เพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอ FOIA ก่อนหน้านี้เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองที่หน่วยงาน

  • ทรัมป์อาจห้ามการใช้แนวคิด DEI และอาจมีการจำกัดการฝึกอบรมความหลากหลายของพนักงานผู้รับเหมาทั่วทั้งรัฐบาลกลาง


3.ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของงานวิจัย

  • ทรัมป์มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงด้านงานวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน และการเน้นนี้อาจกำหนดนโยบายและการดำเนินงานในอนาคตของสหรัฐฯ ในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

  • ใช้นโยบายด้านการตรวจลงตรา (Visa) เป็นเครื่องมือในการรักษาความมั่นคงในการวิจัย

  • ทรัมป์จะนำโครงการ China Initiative ของกระทรวงยุติธรรมกลับเข้ามาพิจารณา โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการจารกรรมและยักยอกงานวิจัยที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยและธุรกิจต่างๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับจีน มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการเกิดข้อจำกัดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่การเข้าบริหารสมัยแรกของทรัมป์และถูกขยายต่อเนื่องมาจนถึงยุคการบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในขณะเดียวกัน การที่ทรัมป์ต่อต้านโครงการริเริ่มของประธานาธิบดีไบเดนนั้นก็เหมือนกับเป็นแนวโน้มที่จะบังคับให้หน่วยงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลางถอนตัว และคำมั่นสัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงงานราชการหลายพันตำแหน่งให้กลายเป็นบทบาททางการเมือง อาจกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากลาออก


4. โรคระบาดคือจุดเปลี่ยนสำหรับบทบาทของทรัมป์ด้านนโยบายวิทยาศาสตร์

  • ทรัมป์แสดงความสนใจในการร่วมยกเครื่องหน่วยงานด้านสาธารณสุข รวมถึงสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institute of Health: NIH) ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดข้อเสนอการปรับโครงสร้าง NIH ที่มีการเสนอในสภาครองเกรส


5. วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศอาจเผชิญกับความท้าทายโดยตรง

  • ทรัมป์มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นเรื่องหลอกลวงและจะไม่เกิดขึ้น

  • นักวิทยาศาสตร์หลายคนแสดงความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการวิจัยที่สนับสนุนกฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและสุขภาพสิ่งแวดล้อม

  • นักวิทยาศาสตร์ทั่วทั้งรัฐบาล ตั้งแต่ NOAA และ NASA ไปจนถึงเครือข่ายห้องปฏิบัติการแห่งชาติของกระทรวงพลังงาน อาจเผชิญกับความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบต่องานวิจัยหรือแม้แต่การเลิกจ้างงานในไม่ช้า


ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อผู้อำนวยการ OSTP

และเจ้าหน้าที่นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูง


  • Michael Kratsios ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Office of Science and Technology Policy: OSTP) เป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้น ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งในคณะบริหารชุดแรกของทรัมป์ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำเนียบขาว และต่อมาได้ดำรงตำแหน่ง รักษาการหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของกระทรวงกลาโหม

  • Lynne Parker นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี น็อกซ์วิลล์ ได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษาแก่นาย Kratsios และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของสภาที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (President’s Council of Advisors on Science and Technology: PCAST) โดยก่อนหน้านี้ ดร. Parker เคยดำรงตำแหน่งใน OSTP ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2022 ทั้งในฝ่ายบริหารของทรัมป์ และไบเดน และที่ NSF ในตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกสำหรับข้อมูลและระบบอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2015 ถึงปี 2016 ในบทบาทก่อนหน้านี้ใน OSTP ดร. Parker เป็นผู้นำด้านนโยบาย AI ระดับชาติ ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ผู้อำนวยการผู้ก่อตั้งสำนักงานริเริ่ม AI แห่งชาติ และผู้ช่วยผู้อำนวยการด้าน AI

  • Sriram Krishnan นักธุรกิจอินเดียน-อเมริกัน อดีตผู้นำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทไอทีหลายแห่ง ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายปัญญาประดิษฐ์ และคาดว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ มัสก์ และรามาสวามี ในภารกิจของ Department of Government Efficiency (DOGE)

  • Bo Hines ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของ Presidential Council of Advisers for Digital Assets ชุดใหม่ (เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “Crypto Council”) และ David Sacks จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับประธานด้าน AI และ cryptocurrency และเป็นประธานร่วมของ PCAST


อย่างไรก็ตามการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งของ Kratsios จะต้องได้รับการยืนยันจากวุฒิสภาก่อนถึงจะสามารถเข้ารับตำแหน่งได้ แต่ในตำแหน่งอื่นๆ คาดการณ์ว่าจะเริ่มรับตำแหน่งได้ในไม่นานหลังจากฝ่ายบริหารสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ข่าวการแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารยังชี้ให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นประเด็นสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยที่ 2 ของฝ่ายบริหารประธานาธิบดีทรัมป์


แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Comments


bottom of page